
ครงสร้างและหน้าที่ของผิวหนังเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตเครื่องสำอาง เนื่องจากคุณสมบัติของผิวหนังมีผลต่อการพัฒนาสูตรและการเลือกใช้สารส่วนประกอบที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ ดังนั้น, ข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษาโครงสร้างของผิวหนังสามารถนำมาใช้ในกระบวนการวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์. ต่อไปนี้คือวิธีที่ความเข้าใจเกี่ยวกับผิวหนังสามารถเชื่อโยงกับการผลิตเครื่องสำอาง:
- เลือกใช้สารส่วนประกอบที่เหมาะสม:
- การทราบถึงโครงสร้างของผิวหนังช่วยในการเลือกใช้สารส่วนประกอบที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น การเลือกใช้สารบำรุงผิวที่ช่วยบำรุงและปกป้องผิวหนัง.
- ปรับสูตรตามประเภทผิว:
- ผิวหนังมีลักษณะที่แตกต่างกันในบุคคลแต่ละคน การปรับสูตรของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับประเภทผิวต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ, เช่น การเลือกใช้สารบำรุงที่เหมาะสมสำหรับผิวแห้งหรือผิวมัน.
- การเพิ่มความยืดหยุ่นและความเรียบเนียน:
- การทราบถึงโครงสร้างของผิวหนังช่วยในการพัฒนาสูตรที่มีความยืดหยุ่นและช่วยเพิ่มความเรียบเนียนในการทำเครื่องสำอาง.
- การควบคุมคุณภาพ:
- การทราบถึงลักษณะและคุณสมบัติของผิวหนังช่วยในกระบวนการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น การตรวจสอบความเรียบเนียน, การทดสอบความทนทาน, และการตรวจสอบสี.
- การป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต:
- ผิวหนังมีบทบาทในการป้องกันผลกระทบจากแสงอัลตราไวโอเลต, ดังนั้นการเลือกใช้สารกระจายแสงหรือสารที่ช่วยในการป้องกันผลกระทบของแสง UV ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญ.
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผิว:
- การนำความเข้าใจเกี่ยวกับผิวหนังมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อผิว, ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพและปลอดภัย.
การเชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างของผิวหนังและการผลิตเครื่องสำอางช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการและความประทับใจของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
ในส่วนของโครงสร้างผิวหนัง
หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นนอกสุดของผิวหนังมนุษย์ มีความหนาประมาณ 0.05-0.1 มิลลิเมตร ประกอบด้วยเซลล์หลัก 4 ชนิด:
- Keratinocytes (เซลล์เคราตินไซต์):
- ชั้น Stratum Basal (หรือ Stratum Germinativum): ชั้นล่างสุดประกอบด้วยเซลล์รูปร่างสี่เหลี่ยมที่มี Keratinocytes ที่เป็นแบบเซลล์แม่บท (stem cell) สามารถแบ่งตัวและสร้างเป็น Keratinocytes ใหม่ได้.
- ชั้น Stratum Spinosum: เป็นชั้นที่ Keratinocytes ซ้อนกันรูปร่างเป็นหนาม.
- ชั้น Stratum Granulosum: มี Keratinocytes ซ้อนกัน 3-5 ชั้นและมี granules ภายในที่เรียกว่า Keratohyaline Granules ที่ช่วยในการสร้าง Keratin.
- ชั้น Stratum Corneum: เป็นชั้นนอกสุดประกอบด้วย Corneocytes (Keratinocytes ที่ไม่มีนิวเคลียส) ที่แบนและมีไขมันเคลือบระหว่างเซลล์.
- Melanocytes (เมลาโนไซต์):
- เป็นเซลล์ที่สร้าง Melanin และทำให้ผิวหนังมีสีต่าง ๆ ในแต่ละบุคคล.
- Langerhans Cells (เซลล์แลงเฮนส์):
- เป็นเซลล์ที่เป็น Antigen-Presenting Cells ในการจับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่อยู่บริเวณผิวหนังและส่งต่อไปยังระบบภูมิคุ้มกัน.
- Merkel Cells:
- เป็นเซลล์ที่อยู่ในชั้น Stratum Basal และมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ mechanoreceptor ในการตอบสนองต่อการสัมผัสและ neuroendocrine functions.
โครงสร้างของผิวหนังแบ่งได้เป็น 3 ชั้น:
- หนังกาพร้า (Epidermis):
- ชั้นนอกสุดของผิวหนัง ประกอบด้วย Stratum Basal, Stratum Spinosum, Stratum Granulosum, และ Stratum Corneum.
- หนังแท้ (Dermis):
- ตั้งอยู่ต่อท้ายหนังกาพร้า ประกอบด้วยหลายชั้นเนื้อเยื่อที่มีหลากหลายเซลล์และโครงสร้าง.
- ผิวหนังชั้นไขมัน (Hypodermis หรือ Subcutis):
- ชั้นล่างสุดที่ประกอบด้วยไขมันและเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกับเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ.
ทั้งนี้, ผิวหนังมีหน้าที่สำคัญในการป้องกันเชื้อโรค, ป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต, รับความรู้สึก, การหายของบาดแผล, และมีผลต่อภาวะจิตใจและด้านภาพลักษณ์ และความงามของบุคคล. ผิวหนังสุขภาพดีมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ (pH ประมาณ 5.5) และมีโครงสร้างที่ดี
การตั้งตำรับเครื่องสำอางเบื้องต้น Cosmetic-Stability-compatibility